บีจีซี ปรับตัวรับแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ วางแผนกลยุทธ์เชิงรุก มุ่งสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร หรือ โทเทิล แพคเกจจิ้ง โซลูชั่น (Total Packaging Solutions) อย่างเต็มตัว ยกระดับการผลิตครบวงจร สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ เล็งลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสเติบโต สร้างรายได้ระยะยาว
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ บีจีซี (BGC) เปิดเผยว่า “จากศักยภาพทางธุรกิจของบริษัทฯ ในหลากหลายด้าน ทำให้เราปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่จากเดิมที่เน้นบรรจุภัณฑ์แก้วเพียงอย่างเดียว ตอนนี้บริษัทฯ มุ่งสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร หรือ โทเทิล แพคเกจจิ้ง โซลูชั่น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อกลางปีที่แล้วบริษัทฯ ได้เริ่มนำบรรจุภัณฑ์อื่นๆ เข้าไปนำเสนอแก่ลูกค้านอกเหนือจากบรรจุภัณฑ์แก้วที่เราผลิต เช่น ฝาขวด กล่องกระดาษ ฉลากสินค้า เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย รวมถึงช่วยในการบริหารจัดการต้นทุนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะควบรวมกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว เพื่อทำให้เกิดความครบวงจรในการผลิตสินค้าและการบริการ สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
ปีนี้คาดว่ารายได้รวมบริษัทฯ จะเติบโต 5-10% หรือมูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาท สัดส่วนการเติบโตมาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 95% และธุรกิจพลังงาน 5% โดยในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ บริษัทฯ จะเน้นขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม ซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีโอกาสเติบโต อีกทั้งในตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ประเทศเหล่านี้มีความตื่นตัวในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ทำให้ซัพพลายในประเทศไม่เพียงพอ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะเข้าไปเจาะตลาดในกลุ่มนี้”
จากกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ บีจีซี ให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่กับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ รองรับ การเติบโตของธุรกิจในอนาคต
“บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณ 400 – 500 ล้านบาทในแต่ละปี เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการผลิต โดยการจัดหาเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูง และปรับปรุงกระบวนการผลิตเดิม โดยการติดเซ็นเซอร์ในจุดต่างๆ เพื่อรายงานสถานภาพการผลิตแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาด จากการผลิต รวมทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลการผลิตในทุกจุดอย่างละเอียด เพื่อจัดทำฐานข้อมูลใน การนำไปวิเคราะห์ด้วยระบบเอไอ (ปัญญาประดิษฐ์) และนำผลไปปรับปรุงระบบการผลิตต่อไป ซึ่งเป็นการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยในปัจจุบันบริษัทฯ ใช้กำลังการผลิตเกือบ 100% และได้มีการปรับปรุงระบบการผลิตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจพลังงาน บริษัทฯ มีความสนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 300 – 400 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวม 120 เมกะวัตต์ มาจากโครงการภายในประเทศ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามที่บริษัทฯ เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ 2 โครงการ คือ โครงการ Xuan Tho 1 และโครงการ Xuan Tho 2 ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มมีการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วทั้ง 2 โครงการ”